ประโยคนี้จำมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าเล่มไหน คนเรานั้นมีอายุขัยประมาณหนึ่งร้อยปี ส่วนใหญ่จะไม่ถึง มีส่วนน้อยมากที่จะเกินแต่ก็เกินร้อยไปได้ไม่มาก คนเราเมื่อเกิดมาแล้วก็จะเสวยโลก คือรับรู้ความเป็นไปในโลก ผ่านอายตนะทั้งหก คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนั้นจะผ่านทางระบบประสาทไปสู่สมอง ลองคิดให้ดีแล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่า โลกที่เราอยู่นี้เป็นจริงหรือไม่ เพราะเราไม่สามารถสัมผัสมันได้โดยตรง มีแต่จะต้องผ่านทางอายตนะ ซึ่งมันอาจจะหลอกเราอยู่ก็ได้ ลองคิดเล่นๆ ว่า ตอนนี้เราอาจจะฝันอยู่ก็ได้ แต่ว่าเป็นฝันที่เหมือนจริงเอามากๆ เรารับรู้ทุกอย่างผ่านทางอายตนะทั้งหกส่งผ่านระบบประสาทเข้าสู่สมองของเรา โดยที่ตั้งแต่เราเกิดมาเรายังไม่เคยตื่นขึ้นเลย และฝันนั้นมันก็ต่อเนื่องกันตลอดเสียด้วยสิ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ที่เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นแค่ความฝันเท่านั้นเอง จนกว่าเราจะตื่นขึ้น เราจึงจะรู้ว่าที่อยู่นี่มันเป็นแค่โลกในความฝันเท่านั้นเอง แต่ก็นั่นแหละ จะสำคัญตรงไหนกัน เพราะไม่ว่ามันจะเป็นความฝันหรือไม่ มันก็หาสาระอะไรไม่ได้อยู่ดี งั้นทำไมเราไม่คิดว่ามันเป็นความฝันไปซะ จะได้ไม่ต้องไปเอาความกับมันมากนัก ไม่ว่าจะได้มามากหรือน้อย จะรวยหรือจน จะดีหรือไม่ดี สุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องตื่น และตอนที่ตื่นแล้วมันก็เอาอะไรไปไม่ได้อยู่ดี เพราะมัน “ไม่มี” มาตั้งแต่ต้น มาทำชีวิตให้เรียบง่าย สบายๆ แล้วบอกตัวเองว่า ชีวิตเรามันก็แค่ “ร้อยปี หลับฝัน หนึ่งตื่น” เท่านั้นเอง