วันนี้บังเอิญมีเรื่องเล่า เหตุการณ์สมมติ ผ่านเข้ามาทาง facebook อ่านเรื่องนี้แล้ว อดคิดไม่ได้ว่ามันไม่ได้เกิดแค่ในโรงเรียนหรอกนะ มันเกิดขึ้นได้ทั่วไปเลยล่ะ แล้วก็ไม่เคยมีผลอะไรดีขึ้นเลย เรื่องมีอยู่ว่า
ครู: ไหนเธอสองคนบอกมาซิ ทะเลาะอะไรกัน?
เด็กชาย ก: ไอ้ ข. มัน เลว มันชั่ว มัน !@#$%^&*
เด็กชาย ข: ไอ้ ก. มันทำผมก่อน มัน &^%#@$$^
ครู: อืม แล้วเราจะแก้ปัญหากันยังไงดี?
เด็กชาย ก: ไอ้ ข. มันต้องทำอย่างนี้ ปรับอย่างนู้น แก้อย่างนั้น บลาๆๆ
เด็กชาย ข: ไอ้ ก. มันต้องทำอย่างนี้ ปรับอย่างนู้น แก้อย่างนั้น บลาๆๆ
ครู: เอาใหม่ๆ ไหนเธอสองคนบอกมาซิ ว่าแต่ละคนควรปรับปรุงตัวเองยังไงบ้าง?
เด็กชาย ก: ……….. (ตอบไม่ได้? ไม่อยากตอบ?)
เด็กชาย ข: ……….. (ตอบไม่ได้? ไม่อยากตอบ?)
พูดกันตามตรง ผมเคยเห็นหลายทีมทำ retrospective แล้วได้ผลเหมือนประมาณนี้เลย คือ ถ้า ทำแบบ Good Bad Try ก็จะได้ หัวข้อ Bad ว่า ฝ่ายนั้นทำไม่ดีอย่างโน้น ให้อีกฝ่ายนี้แก้อย่างนี้ แต่ไม่มีเลยว่า จะบอกว่า ให้ตัวเองแก้อย่างไร เพราะมองไม่เห็นตวามผิดพลาดของตัวเอง หรือมองไม่เห็นโอกาสที่ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
จริงอยู่ปัญหาส่วนใหญ่ในโลกไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวเราเพียงคนเดียว หรือฝ่ายเราเพียงฝ่ายเดียว แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมยังคงเห็นว่าปัญหาทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ โดยเริ่มต้นที่ตัวเราเอง ผมมักจะยกตัวอย่าง “กฏแห่งกระจก” มาใช้อธิบายเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ เรื่องจะประมาณว่า
ทุกคนคงเคยส่องกระจก และเคยส่องแล้วพบว่า ผมตัวเองไม่เรียร้อย ถามว่า เราหวีผมในกระจกหรือหวีผมบนหัวเราเอง ทุกคนคงต้องตอบว่า หีวผมบนหัวเราเอง เพราะคงไม่มีใครบ้าพอจะหวีผมในกระจก และถึงแม้จะลองก็คงไม่สำเร็จอยู่ดี แต่ก็นั่นล่ะ พอหวีผมตัวเองแล้ว ผมในกระจก ก็เรียบร้อยขึ้นอย่างน่าประหลาด
เปรียบดั่งคนเรานั้นพอมีปัญหากัน ก็จะเห็นปัญหาของอีกฝ่ายโดยลืมไปว่าเราก็เป็นปัญหาเหมือนกัน แต่ก็นั่นล่ะ เมื่อเราค้นพบปัญหาของเราและแก้ไขมันแล้ว ปัญหาจากคนอื่นก็ดูจะเบาบางลงไปด้วยเช่นกัน
“ถ้าเราไม่ใช่ส่วนหนึ่งของทางออก เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา”
ลิ้งค์